วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

70 สิ่งที่....คุณอาจเพิ่งรู้!!!!

1.ยุงบินด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง...
2.ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง...
3.เส้นผมคน รับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม...
4.เสียงกรนที่ดังที่สุดดังถึง 87.5 เดซิเบลล์
5.พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแฮปเบิร์ดเดย์ ถ้าจะนำมาออกรายการ ต้องซื้อลิขสิทธิก่อน...
6.เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์...
7.หอเอนเมืองปิซาเอนไปทางใต้...
8.กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต...
9.ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย...
10.ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว...
11.เราไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้...
12.ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน...
13.ฮิปโปผายลมทางปาก...
14.ประเทศซาอุดิอราเบียไม่มีแม่น้ำ...
15.กังหันทั้งโลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์...
16.เด็กนักเรียนอายุ15 ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับเข้าคุกถ้า"โกงข้อสอบ"...
17.ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา...
18.ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน...
19.ตัว"โอ"เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ...
20.คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที
21.ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้...
22.เม่นชอบช่วยตัวเอง...
23.ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย...
24.ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่...
25.เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม...
26.คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด
27.ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1000 คน
28.เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที
29.มันเป็นไปมะได้อ่ะคับ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา
30.เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว
31.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed
32.กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น
33.แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ โพดำ กษัตริย์เดวิด ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช โพหัวใจ ชาร์ล เลอ มาญ ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์
34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้า และม้ายกสองขาขึ้นบนอากาศแปลว่าคนนั้นตายในสงคราม
35.ถ้าม้ายกขาข้าเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงคราม และตายจากการบาดเจ็บนั้น
36.ถ้าทั้งสี่ขาของม้าอยู่บนพื้น แสดงว่าตายโดยธรรมชาติ
37.ใน 4000 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสัตว์ชนิดใหม่ๆ ที่ถูกทำให้เชื่อง
38.เชคสเปียร์ เป็นคนคิดค้นคำว่า assassination (การลอบฆ่า) และ bump (ชนกระทบ) 3
9.หัวใจมนุษย์สร้างความดันเพียงพอที่จะปั๊มเลือดออกจากร่างกายไป 30 ฟุต
40. หนูสามารถสืบพันธุ์ได้เร็วมาก ใน 18 เดือน หนูสองตัวจะสามารถมีทายาทมากกว่าล้านตัว
41.การใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียว ทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น 700 เท่าตัว
42.ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา
43.เหมือนกับลายนิ้วมือ....ลายลิ้นทุกคนต่างกัน
44.นิตยสาร time ได้ยกย่องให้คอมพิวเตอร์เป็นบุคคลแห่งปีในปีค.ศ.1982
45.สถิติจูบนานที่สุดในโลกเป็นของหลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปีกับแฟนหนุ่ม ริช แลงเลย์ วัย 22 ปีพวกเขาทำสถิติไว้ที่ 30.59.27 ชม.
46.ตอนที่ f4 ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือบ100 คน ต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม 2
47.บริษัทผู้ผลิตยาสีฟันดาร์ลี่เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่ผลิตยาสีฟันคอลเกต
48.โดนัลด์ ดักส์ ถูกแบนในประเทศฟินแลนด์ เพราะมันไม่ได้สวมกางเกงใน
49.ภาพยนต์เรื่อง nothing hill จ่ายค่าตัวจูเลีย โรเบิร์ต 15 ล้านเหรียญ ( 660 ล้านบาท ) ในขณะที่พระเอกอย่างฮิว แกรนจ์รับค่าตัวเพียง 1 ล้านเหรียญ ( 45 ล้าน บาท)
50.หนังอนิเมชันเรื่อง SouthPark ได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊คว่า เป็นหนังอนิเมชั่น เรื่องยาวที่หยาบคายที่สุดในโลกสถิติบันทึกไว้ว่า มีการใช้คำหยาบ 399 คำ พฤติกรรมรุนแรง 221 ครั้ง และแสดงท่าทางหยาบคาย 128 ครั้ง
51.ขนมทอดกรอบตรา ปูไทย ระบุว่าไม่มีส่วนผสมของเนื้อปู
52.ในน้ำทะเล 100 ตัน จะมีทองคำอยู่ประมาณ 4 กรัม
53.จำนวนแถวของข้าวโพดในแต่ละฝักจะเป็นเลขคู่
54.จิงโจ้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่เดินถอยหลังไม่ได้
57.ยุงชอบเลือดเด็กมากกว่าเลือดผู้ใหญ่
58.แมงมุมทอดรสชาติเหมือนถั่ว
59.ฟันของแมลงสาบอยู่ในท้อง
60.เม่นทุกตัวลอยน้ำได้
61.หมู มีโอกาสเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
62.นอกจากมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกและจิงโจ้ต่างก็จูบเป็น ส่วนลิงชิมแปนซีนั้นจูบแบบ "เฟรนช์คิส" ได้ด้วย
63.คนถนัดขวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนถนัดซ้ายถึง 9 ปี
64.Hippopotomonstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัวคำอ่านยาวๆ
65.ผู้ที่เกิดเดือนมกราคม - มีนาคม มีแนวโน้มเป็นโรคจิตและโรคคลั่งมากกว่าเดือนอื่นๆ
66.แก้วไม่ได้เป็นของเเข็ง เเต่เป็นของเหลว
67.สมองคนเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักของร่างกาย แต่ใช้เลือดไปเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมด
68.เลือดของกุ้งมังกรเปนสีน้ำเงิน
69.อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา
70.รู้หรือเปล่าว่าเว็บ google ไม่ได้มีประโยชน์แค่หาข้อมูล แต่เป็นเครื่องคิดเลขได้ (ลองใส่ 5+2 หรือเลขอะไรก้อได้ในช่อง แล้วกด Search ดู)

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

“4 อย่า” เมื่อคุณจะนอน

มาดูกันซิว่ามีอะไรบ้าง
อย่าที่ 1 คือ อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ ก็เพราะขณะที่นาฬิกาเจ้ากรรมทำงานไปเรื่อยๆ นั้น เจ้านาฬิกาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย
อย่าที่ 2 นี่ สำหรับพวกชอบคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับโดยเฉพาะเลย ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ใกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง
อย่าที่ 3 ง่ายๆ สั้นๆ คือ อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ
อย่าที่ 4 (สำหรับสาวๆ เท่านั้น) คือ อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

กางเกงขาเดฟ


เมื่อนานมาแล้ว กางเกงขาเดฟเข้ามาในหมู่วัยรุ่น แต่ยังไม่แพร่หลายมากมายนัก ส่วนใหญ่จะเป็น เด็กอาชีวะ เด็กอาร์ท(ติส)ที่นิยมกัน แต่ขาเดฟ ก็ค่อยๆขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น พร้อมกับคำว่าเด็กแนว จนบางคนหลงเข้าใจผิดว่า เด็กแนวต้องใส่เดฟ
กางเกงขาเดฟ เป็นทรงกางเกงที่ใส่แล้วดูทะมัดทะแมง คล่องแคล่ว และ ไม่ลุ่มล่าม สามารถใส่กับเสื้อได้หลากหลายสไตล์ คล้ายๆกับกางเกง ยีนส์ (เว้นขาเดฟ กับเสื้อตัวใหญ่ๆ)
กางเกงขาเดฟจะเด่นมาก ถ้าเป็นผ้าที่มีสีสดๆ เช่น แดง,เขียว,เหลือง ยิ่งใส่คู่กับรองเท้าสีเจ็บๆ รับรอง คุณคือ จุดศูนย์รวม ของเป้าสายตา
หากต้องการจะใส่ ไม่ควรเลือกที่เล็กเกินไป เพราะ กางเกงจะรัดจนไม่น่าดู 'ถ้าขาใหญ่เกิน ก็อย่าใส่เลยจะดีกว่า' หรือจะเลือกเป็น ยีนส์ขาเดฟก็เท่ไปอีกแบบ
จริงๆขาเดฟ เป็นแฟชั่นย้อนยุค ที่ใส่กันมาตั้งแต่รุ่นลุง แล้ววนกลับมาอีกครั้ง ในรุ่นสมัยนี้
ขาเดฟจะขึ้นมาก หากผู้สวมใส่ เอาเสื้อไว้ในกางเกง และ คาดเข็มขัดสีที่ตัดกัน รองเท้าผ้าใบ "ดาวทุกดวง" (all star) ดูขึ้นเป็นพิเศษ เมื่ออยู่คู่กับขาเดฟ
ส่วนข้อเสียของทรงขาเดฟคือ
- กระเป๋ากางเกงใส่ของไม่ค่อยได้
- บางคนที่ไม่ชอบอึดอัด อาจรู้สึกรำคาญที่ต้องใส่
- ยกขา ก้าวยาวๆ หรือ ก้าวขึ้นบันไดลำบาก
- ใส่ไม่เข้า กับเสื้อตัวใหญ่

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Diamond


In mineralogy, diamond is the allotrope of carbon where the carbon atoms are arranged in an isometric-hexoctahedral crystal lattice. Its hardness and high dispersion of light make it useful for industrial applications and jewelry. It is the hardest known naturally-occurring mineral. It is possible to treat regular diamonds under a combination of high pressure and high temperature to produce diamonds (known as Type-II diamonds) that are harder than the diamonds used in hardness gauges.[2] Presently, only aggregated diamond nanorods, a material created using ultrahard fullerite (C60) is confirmed to be harder, although other substances such as cubic boron nitride, rhenium diboride and ultrahard fullerite itself are comparable.
Diamonds are specifically renowned as a material with superlative physical qualities; they make excellent abrasives because they can be scratched only by other diamonds, borazon, ultrahard fullerite, rhenium diboride, or aggregated diamond nanorods, which also means they hold a polish extremely well and retain their lustre. Approximately 130 million carats (26,000 kg (57,000 lb)) are mined annually, with a total value of nearly USD $9 billion, and about 100,000 kg (220,000 lb) are synthesized annually.[3]
The name diamond derives from the ancient Greek ἀδάμας (adamas) "invincible", "untamed", from ἀ- (a-), "un-" + δαμάω (damáō), "to overpower, to tame". They have been treasured as gemstones since their use as religious icons in ancient India and usage in engraving tools also dates to early human history.[4][5] Popularity of diamonds has risen since the 19th century because of increased supply, improved cutting and polishing techniques, growth in the world economy, and innovative and successful advertising campaigns. They are commonly judged by the “four Cs”: carat, clarity, color, and cut.
Roughly 49% of diamonds originate from central and southern Africa, although significant sources of the mineral have been discovered in Canada, India, Russia, Brazil, and Australia. They are mined from kimberlite and lamproite volcanic pipes, which can bring diamond crystals, originating from deep within the Earth where high pressures and temperatures enable them to form, to the surface. The mining and distribution of natural diamonds are subjects of frequent controversy such as with concerns over the sale of conflict diamonds (aka blood diamonds) by African paramilitary groups.

Diamond


In mineralogy, diamond is the allotrope of carbon where the carbon atoms are arranged in an isometric-hexoctahedral crystal lattice. Its hardness and high dispersion of light make it useful for industrial applications and jewelry. It is the hardest known naturally-occurring mineral. It is possible to treat regular diamonds under a combination of high pressure and high temperature to produce diamonds (known as Type-II diamonds) that are harder than the diamonds used in hardness gauges.[2] Presently, only aggregated diamond nanorods, a material created using ultrahard fullerite (C60) is confirmed to be harder, although other substances such as cubic boron nitride, rhenium diboride and ultrahard fullerite itself are comparable.
Diamonds are specifically renowned as a material with superlative physical qualities; they make excellent abrasives because they can be scratched only by other diamonds, borazon, ultrahard fullerite, rhenium diboride, or aggregated diamond nanorods, which also means they hold a polish extremely well and retain their lustre. Approximately 130 million carats (26,000 kg (57,000 lb)) are mined annually, with a total value of nearly USD $9 billion, and about 100,000 kg (220,000 lb) are synthesized annually.[3]
The name diamond derives from the ancient Greek ἀδάμας (adamas) "invincible", "untamed", from ἀ- (a-), "un-" + δαμάω (damáō), "to overpower, to tame". They have been treasured as gemstones since their use as religious icons in ancient India and usage in engraving tools also dates to early human history.[4][5] Popularity of diamonds has risen since the 19th century because of increased supply, improved cutting and polishing techniques, growth in the world economy, and innovative and successful advertising campaigns. They are commonly judged by the “four Cs”: carat, clarity, color, and cut.
Roughly 49% of diamonds originate from central and southern Africa, although significant sources of the mineral have been discovered in Canada, India, Russia, Brazil, and Australia. They are mined from kimberlite and lamproite volcanic pipes, which can bring diamond crystals, originating from deep within the Earth where high pressures and temperatures enable them to form, to the surface. The mining and distribution of natural diamonds are subjects of frequent controversy such as with concerns over the sale of conflict diamonds (aka blood diamonds) by African paramilitary groups.

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เรื่องของรองเท้าแปลก ๆ ที่สร้างโดยคนแปลก ๆ


ในบรรดาแฟชั่นเครื่องประดับประดาร่างกายของคนเรานั้น รองเท้าเป็น อย่างหนึ่งล่ะที่เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา รวมทั้งจะต้องมีวิวัฒนาการให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่นเดียวกับเสื้อผ้าแพรพรรณ รองเท้าก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน บางครั้งรองเท้าที่ประดับเพชรนิลจินดา ยังมีสนนราคาแพงเริดยิ่งกว่าเสื้อผ้าแพรพรรณหลายเท่าตัว
นายแกรี่ กรีนวูดส์ ช่างทำเครื่องหนัง คนดังของออสเตรเลีย คงนึกสนุกขึ้นมาจึงได้ออกแบบรองเท้าพิสดารปลายงอนยาวเฟื้อยขึ้นมา น่าคิดว่าคนออกแบบเพี้ยนไปซะมากกว่า เอ...แต่ที่เพี้ยนกว่าคนออกแบบก็คือคนที่ซื้อรองเท้านี้ไปใส่นั่นแหละ ที่เห็นในรูปน่ะเป็นตัวอย่างที่ทำขึ้นคู่เดียวในโลก ในข่าวไม่ได้บอกว่าราคาคู่ละเท่าไหร่ แต่เชื่อเหอะว่า ค่าหนังบวกค่าความคิดฝีมือและชื่อเสียงของนายแกรี่เข้าไปด้วย คำนวณแล้วคงเป็นจำนวนที่น่าตกใจเชียวละ
ไหนๆก็ตกใจเพราะเรื่องราคาแล้ว มาตกใจกันจริงๆซะเลยเป็นไงครับ เคยเห็นรึยังรองเท้าราคาสองล้านบาทน่ะ? ก็ฉลองพระบาทของจักรพรรดิโบกัสซ่า ผู้เคยยิ่งใหญ่อยู่ในแอฟริกากลาง ซึ่งเดี๋ยวนี้เสด็จตกจากบัลลังก์ไปเรียบร้อยแล้ว...ที่จริงฉลองพระ บาทคู่นี้แบบก็เรียบๆ ธรรมดาๆ ไม่วิจิตร พิสดารอย่างใด ทว่าความแพงมันอยู่ที่สิ่งประกอบอันเป็นไข่มุกแท้ๆ จำนวนประมาณ 4,000 เม็ด ดังนั้น ราคาจึงต้องตกในราว 85,000 ดอลลาร์!!!
ประวัติศาสตร์ของรองเท้าย้อนหลัง ไปนานเนิ่น สมัยไอยคุปต์ตอนต้นเมื่อห้าพันปีก่อนก็มีการสวมรองเท้ากันแล้ว เป็นรองเท้าแตะแบบคีบ ครั้นมาถึงสมัยกรีก รองเท้าจะมีเส้นสายรัดพันให้กระชับกับเท้ามากขึ้น แต่มาวิลิศมาหรามากก็ตอนในยุคโรมันครองโลก



ชาวโรมันโบราณเขาสวมรองเท้าบูตเชียวนา... รองเท้าบูตของคนสำคัญขึ้นไปจนถึงจักรพรรดิโรมันนั้น ประดับประดาสวยเก๋มาก ใครมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญแค่ไหน ดูจากรองเท้าได้เลย อย่างเช่นองค์จักรพรรดิจะสวมฉลอง พระบาทบูตหนังสีม่วง อันเป็นสีแห่งขัตติยราชโรมัน ประดับประดาด้วยลวดลายทองคำ, เพชรพลอย, ไหมทอง, ขนสัตว์ และรูปอันแสดงถึงอำนาจ เช่น หน้าสิงห์ เป็นต้น บางคู่ถึงกับทำด้วยทองคำและงาช้าง เวลาเสด็จไปทางไหนคงหนักพระบาทพิลึก สำหรับระดับขุนพลหรือข้าราชการตำแหน่งใหญ่ๆ จะสวมบูตสั้นกว่าของจักรพรรดิ ทำด้วยหนังสีแดง ส่วนซีเนเตอร์หรือสมาชิกสภาโรมันสวมรองเท้าสีดำประดับนิดหน่อยพองาม ชาวบ้านธรรมดาก็สวมแบบธรรมดาตามตำแหน่งอันธรรมดาๆของตน คือ แบบแตะที่มีระโยงระยางคล้ายรองเท้ากรีกนั่นแหละ
ผู้คนทางตะวันออกสมัยโบราณส่วนมากสวมรองเท้าปลายงอน ดูจากรองเท้าเทวดาของไทยๆก็ได้ ปลายงอนเช้งโดยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ส่วนชาวตะวันออกกลางซึ่งแพร่ อารยธรรมบางอย่างให้กับยุโรปก็สวมรองเท้า ปลายงอนเหมือนกัน จึงไม่น่าแปลกอะไรที่ฝรั่งมังค่าในยุคกลางจะสวมรองเท้าปลายงอนไปตามๆกัน แต่ทว่าเมื่อลอกเลียนแบบคนตะวันออกไปใช้แล้ว คงอายว่าไม่มีไอเดียของตนกระมัง จึงดัดแปลงปลายรองเท้าให้ยาวเฟื้อยยิ่งกว่าต้นตำรับเดิม ยาวเสียจนคนสวมต้องจับปลายรองเท้าไปผูกไว้ใต้เข่า เพราะปลายรองเท้านั้นยาวเรียวแหลมตั้ง 2 ฟุต
ทีนี้คงทราบแล้วนะครับว่าแบบรองเท้าสมัยใหม่ที่นายกรีนวูดส์แกออกแบบมาน่ะ ได้ไอเดียมาจากรองเท้าปลายแหลมในยุคกลางนี่เอง แสดงว่าของอะไรที่ว่าใหม่ๆ จะว่าไปแล้วหาใช่ใหม่เอี่ยมเรี่ยมเร้ เสมอไปหรอกครับ
แฟชั่นรองเท้าเปลี่ยนไปยังกับหน้ามือเป็นหลังเท้าในราว 500 ปีต่อมา แฟชั่นรองเท้าเปลี่ยนจากปลายยาวแหลมเปี๊ยบเป็นปลายสั้นทู่มะลู่และบานแผ่พิลึก คน ในยุคนั้นเรียกรองเท้าร่วมสมัยว่าเป็นแบบ “อุ้งตีนหมี” บ้าง “ปากเป็ด” บ้าง ผู้นำแฟชั่นคนสำคัญคือพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 แห่งอังกฤษ ที่นิยมฉลองพระบาทแบบนี้ยิ่งกว่าใครๆ ก็เพราะพระองค์น่ะทรงทรมานด้วยโรคเกาต์เป็นประจำ ฉลอง พระบาทแบบปลายบานแฉ่งทำด้วยผ้าหรือขนสัตว์นุ่มๆ จึงเหมาะมาก ว่ากันว่าฉลองพระบาทพระเจ้าเฮนรี่ ที่ 8 น่ะ บานแฉ่งถึง 10 นิ้ว ในขณะ ที่รองเท้าคนอื่นบานแค่ 6 นิ้วเอง


สตรีในสมัยนั้นไม่ได้สวมรองเท้าบานแฉ่งเป็นอุ้งตีนหมีด้วยหรอก แต่ สวมรองเท้าที่เรียกว่า “ชอฟีนส์” (Chopines) ซึ่งพิลึกพิสดารกว่ารองเท้าคุณผู้ชายแยะเลย พื้นรองเท้านี้สูงมากครับ บางคู่สูงถึง 2 ฟุต นึกไม่ออกเล้ย...ว่าคุณเธอเดินไปได้ยังไง แต่พอเห็นรูปเข้าก็ร้องอ๋อ กุลสตรีมากยศเหล่านี้เดินคนเดียวตามลำพังไม่ได้หรอก ต้องมีพี่เลี้ยงเดินเคียงกายไปด้วย เพื่อให้ คุณเธอยืนพยุงในยามที่เตาะแตะไปบนพื้นรองเท้าแบบนี้
ผู้ชายในศตวรรษที่ 17 ก็มีแฟชั่นรองเท้าหรู ตอนแรกรองเท้าผู้ชายเป็นแบบบูตสูงเกือบถึงสะโพก เพื่อป้องกันความหนาว ต่อมาแฟชั่นรองเท้าหดสั้นลงและปลายข้างบนก็บานออก เวลาฝนตกใส่ก็สนุกมาก คือมีน้ำฝนขังเป็นลิตรๆเชียวครับ แต่ก็มีประโยชน์ตรงใช้เก็บสมบัติส่วนตัว รองเท้าปลายบานแบบนี้มักประดับประดาด้วยลูกไม้และริบบิ้นหรูหรา รับกับหมวกและปกเสื้อที่ประดับลูกไม้เริ่ด



พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้สร้างพระราชวังแวร์ซายส์ นับเป็นผู้นำแฟชั่นในยุโรป ยุคนั้น ถึงแม้จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรเป็น อธิราชผู้ลือพระนาม แต่พระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 ทรงมีพระวรกายเตี้ยมากครับ คือ สูงแค่ 5 ฟุต 4 นิ้ว หรือ 163 ซม. เท่านั้น จำเป็นต้องเสริมให้พระวรกายสูงระหงขึ้น ดังนั้น ฉลองพระบาทของหลุยส์ที่ 14 จึงเป็นแบบส้นสูง (มากๆ) ประดับประดาด้วยเพชร, พลอย, ริบบิ้น, โบ ลูกไม้ และรูปเขียน พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โปรดโบมาก ฉลองพระบาทคู่โปรดมีโบใหญ่ถึง 16 นิ้วเชียวครับ เท่านั้นยังไม่สมพระทัย พระองค์โปรดให้จิตรกรวาดภาพลงบนส้นฉลองพระบาทคู่โปรด โดยเขียนเป็นรูปเหตุการณ์ในสงครามที่พระองค์ได้พิชิตมา
ในยุคนั้น ข้าราชสำนักไม่ว่าเตี้ยหรือสูงก็พากันสวมรองเท้าส้นสูงตามพระราชนิยมไปตามๆกัน กลายเป็นแฟชั่นรองเท้าผู้ชายแห่งศตวรรษที่ 17 ซึ่งคนยุคหลังเห็นแล้วอมยิ้มไปตามๆกัน ชาติต่างๆล้วนมีรองเท้าอันเป็นเอก-ลักษณ์ประจำชาติแตกต่างกันไป ด้วยรูปทรงแปลกๆตามแต่วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนในชาตินั้นๆ เรียกได้ว่า รองเท้านี้มีวิวัฒนาการและแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปของแต่ละยุคสมัย ทั้งยังแสดงตัวตนของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร


คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2498 ซึ่งเป็นคณะที่ 3 ของมหาวิทยาลัย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อผลิตนักโบราณคดีไปปฏิบัติงานดูแลรับผิดชอบ การอนุรักษ์โบราณวัตถุสถานอันเป็นมรดกวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ตลอดจนปฏิบัติงานสนามทางโบราณคดีให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ มีหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์เป็นคณบดีท่านแรก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2517 คณะโบราณคดีได้ปรับปรุงการศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต โดยขยายขอบเขตการผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาอื่นๆ อีกนอกเหนือจากการผลิตนักโบราณคดี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

ประวัติ
คณะโบราณคดีได้ตั้งขึ้นในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2498 โดยมีจุดมุ่งหมายหลักให้เป็นคณะวิชาที่ผลิตครูอาจารย์และนักโบราณคดี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับงานโบราณคดีเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในกองโบราณคดี ของกรมศิลปากร หรืองานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโบราณคดี โดยมีหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ เป็นคณบดีคนแรก

ปรัชญา
"ศึกษามนุษย์ ขุดค้นก้าวหน้า ภาษาเชี่ยวชาญ สืบสานศิลปวัฒนธรรม"

หลักสูตรการศึกษา
ระดับปริญญาบัณฑิต
คณะโบราณคดี เปิดสอนในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต หลักสูตรการศึกษา 4 ปี ใน 7 สาขาวิชาเอก คือ สาขาวิชาโบราณคดี,สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ,สาขาวิชามานุษยวิทยา,สาขาวิชาภาษาไทย,สาขาวิชาภาษาตะวันออก (ภาษาบาลี,สันสกฤต,เขมร),สาขาวิชาภาษาอังกฤษ และสาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส นอกจากนี้ ยังเปิดสอนอีก 4 วิชาโท คือ ประวัติศาสตร์,พิพิธภัณฑ์สถานวิทยา,มัคคุเทศก์ศึกษา และภาษาฮินดี

ระดับปริญญามหาบัณฑิต
มี 11 สาขาวิชา คือ โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ โบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ศิลปะ มานุษยวิทยา จารึกภาษาตะวันออก จารึกภาษาไทย ภาษาสันสกฤต เขมรศึกษา การจัดการจดหมายเหตุและเอกสาร การจัดการมรดกทางวัฒนธรรม ภาษาฝรั่งเศสเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และ ภาษาเพื่อการสื่อสารเชิงวัฒนธรรม

ระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต
มี 4 สาขาวิชา คือ สาขาวิชาภาษาสันสกฤต สาขาวิชาเขมร โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ศิลปะ

เกร็ด
สีประจำคณะ คือ สีม่วง
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีการศึกษา 2548 คณะโบราณคดี วิชาเอกภาษาไทย เป็นสาขาวิชาที่มีผู้เลือกสมัครมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย
สาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส คณะโบราณคดี เป็นสาขาวิชาที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นคณะที่มีความเด่นทางและเข้มแข็งทางวิชาการด้านภาษาฝรั่งเศสเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการจัดอันดับของสมาคมฝรั่งเศส
ปี 2549 ได้รับการจัดอันดับให้เป็นคณะที่มีศักยภาพการเรียนการสอนเป็นอันดับ 9 ของกลุ่มคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จากการจัดอันดับของ สกอ.

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ธนาคารที่สวยที่สุดในไทย! (งดงามเหมือนกับวัง)

ธนาคารแห่งแรกในประเทศไทย
ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น ธนาคารไทยพาณิชย์
สาขาถนนเพชรบุรีเดิมเคยเป็นวังมาก่อน
ด้านหลังติดคลองแสนแสบ
ด้านข้างติดกับศึกษาภัณฑ์กิ่งเพชร



วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

อาหารบำรุงสมอง

อาหารที่พวกเราทานกันอยู่ทุกวันนั่น รู้มัยว่ามีอาหารบางอย่างที่เราทานเข้าไปแล้วจะช่วยบำรุงสมองของเราได้
สมอง คือ อวัยวะที่สำคัญของมนุษย์ ทำหน้าที่ควบคุมและสั่งการเคลื่อนไหว , พฤติกรรมและรักษาสมดุลภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ , ความดันโลหิต เป็นต้น นอกจากนี้สมองยังเกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่นๆที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ นี้คือการทำงานบางส่วนของสมอง เห็นมั้ยจ๊ะว่าสมองนั่นมีความสำคัญกับร่างกายเรามากมายขนาดไหน ดังนั้นตอนนี้เราก็มาทานของที่เข้าไปช่วยบำรุงสมองกันดีกว่า

· ข้าวไม่ขัดสีหรือข้าวกล้อง ดีต่อสุขภาพร่างกายเรา เพราะ เป็นแหล่งพลังงานชั้นดี และเป็นยังมีโปรตีนที่ผลิต กรดอะมิโนที่เป็นตัวช่วยในการส่งและลำเลียงอาหารไปยังสมอง
· ปลาทะเลน้ำลึก เช่ย ปลาแซลมอน เป็นต้น จะอุดมไปด้วยไขมันชั้นดี อย่างโอเมก้า 3 ที่สมองต้องการ
· ขมิ้น ช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ และช่วยยับยั้งการเกิดโรคความจำเสื่อมได้
· ผักโขม เป็นผักที่มีโฟเลตสูง ช่วยชะลอการเสื่อมของสมองส่วนกลางและการรับรู้
· สตรอเบอร์รี่ ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อสมองในการเรียนรู้ให้ดีขึ้น
· แครบเบอร์รี่ ผลไม้ที่ช่วยต่อต้านอาการป่วยเรื้อรังที่เกิดขึ้นในสมอง เช่น อาการความจำเสื่อม
รู้จักอาหารที่จะช่วยในเรื่องการบำรุงสมองกันไปแล้ว ก็อย่าลืมลองไปหามาทานกันดูนะจ๊ะ เพื่อที่จะได้ช่วยทำให้สมองซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย อยู่กับเราได้ไปนานๆ

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สูตรเด็ด อ่านเตรียมสอบแอดมิชชั่น

อ่านตอนเย็น ไม่ควรอ่านตอนเช้า

การอ่านหนังสือเตรียมสอบในชั้นเรียน ส่วนใหญ่จะเลือกอ่านในตอนเช้าๆ เพราะจะได้เข้าหัว ส่วนก่อนเข้าห้องสอบก็ไปติวหน้าห้องกับเพื่อนๆเพื่อความชัวร์อีกทีหนึ่ง แต่การอ่านหนังสือเตรียมสอบแอดมิชชั่นนั้น ต้องบอกว่ากลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง เพราะควรจะอ่านตอนหัวค่ำมากกว่า โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน เพราะถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสมมากที่สุด อ่านไปแล้วค่อยพักผ่อนหละ...(แต่อย่าอ่านไปด้วย นอนไปด้วยนะ ไม่งั้นอาจจะได้พักผ่อนก่อนการอ่าน...) ที่ใช้วิธีนี้ก็เพราะว่า การอ่านเตรียมสอบแอดมิชชั่นไม่ใช่การอ่าน แล้วใช้งานทันที แต่เป็นการอ่านเพื่อทบทวน เพื่อรื้อฟื้นสิ่งที่เคยเข้าใจอีกครั้งหนึ่ง..ดังนั้น หากนำบทเรียนแอดมิชชั่นไปอ่านตอนเช้า พอสายๆไปเรียนในชั้นเรียน เนื้อที่อ่านมาก็จะถูกลืม และตีกับบทเรียนใหม่ซะยุ่งเหยิงเลยทีเดียว

ไม่ควร..อ่านแต่เนื้อหาอย่างเดียว

เขาบอกว่าคนเราจะเตะฟุตบอลได้ดีหรือไม่นั้น จะมามัวนั่งอ่านกฏกติกา วิธีเล่นอย่างเดียวก็คงไม่ได้ ต้องลองเล่นในสนามจริงๆดู ซึ่งก็เปรียบได้กับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ หากอ่านแต่เนื้อหา อ่านแต่กฏ หรือสูตรลัดต่างๆ แต่ไม่ลองอ่านแนวข้อสอบเก่าๆ ก็อาจจะไม่ได้ผล เพราะหลายคนมักจะมาพลาดตรงข้อสอบที่ออก ซึ่งต่อให้เข้าใจ อ่านมาแน่นขนาดไหน แต่ไม่รู้แนวการถาม หรือแนวข้อสอบ ก็คงต้องผิดหวังไปตามๆกันครับ...เปรียบการทำข้อสอบแอดมิชชั่น เป็นการเตะฟุตบอลที่การสอบปกติจะเตะจากกลางสนามเข้าประตู แต่สำหรับแอดมิชชั่นคือการเตะจากข้างสนามเพื่อส่งให้เพื่อนโหม่งเข้าประตู

อ่านเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ท่องจำ

สำหรับแนวคิดในข้อนี้ คำว่ารู้ลึก รู้จริง รู้แบบเข้าใจ คงจะใช้ได้ดีครับ...เพราะฉะนั้นการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบแอดมิชชั่น พี่ลาเต้ ขอฟันธงเลยว่า ให้น้องๆอ่านแบบทำความเข้าใจ อย่าไปอ่านแล้ว จำ จำ จำ เพราะไม่งั้นน้ำตาตกหลังสอบแน่ๆ ที่ต้องอ่านแบบนี้ เพราะแนวข้อสอบแอดมิชชั่น โดยเฉพาะ O-NET จะเป็นข้อสอบที่กว้างมากๆ มันจะไม่ถามอะไรที่เฉพาะเจาะจง แต่จะถามชนิดว่าความรู้กว้างๆ ภูมิหลัง หรือความเข้าใจ ซึ่งหากอ่านแบบให้เข้าใจ โดยสามารถเล่าเรื่องต่างๆให้เพื่อนฟังได้ ทำข้อสอบได้แน่นอน...

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2551


On Feb. 2, 2007, the United Nations scientific panel studying climate change declared that the evidence of a warming trend is "unequivocal," and that human activity has "very likely" been the driving force in that change over the last 50 years. The last report by the group, the Intergovernmental Panel on Climate Change, in 2001, had found that humanity had "likely" played a role.
The addition of that single word "very" did more than reflect mounting scientific evidence that the release of carbon dioxide and other heat-trapping gases from smokestacks, tailpipes and burning forests has played a central role in raising the average surface temperature of the earth by more than 1 degree Fahrenheit since 1900. It also added new momentum to a debate that now seems centered less over whether humans are warming the planet, but instead over what to do about it. In recent months, business groups have banded together to make unprecedented calls for federal regulation of greenhouse gases. The subject had a red-carpet moment when former Vice President Al Gore's documentary, "An Inconvenient Truth," was awarded an Oscar; and the Supreme Court made its first global warming-related decision, ruling 5 to 4 that the Environmental Protection Agency had not justified its position that it was not authorized to regulate carbon dioxide.
Read More...
The greenhouse effect has been part of the earth's workings since its earliest days. Gases like carbon dioxide and methane allow sunlight to reach the earth, but prevent some of the resulting heat from radiating back out into space. Without the greenhouse effect, the planet would never have warmed enough to allow life to form. But as ever larger amounts of carbon dioxide have been released along with the development of industrial economies, the atmosphere has grown warmer at an accelerating rate: Since 1970, temperatures have gone up at nearly three times the average for the 20th century.
The latest report from the climate panel predicted that the global climate is likely to rise between 3.5 and 8 degrees Fahrenheit if the carbon dioxide concentration in the atmosphere reaches twice the level of 1750. By 2100, sea levels are likely to rise between 7 to 23 inches, it said, and the changes now underway will continue for centuries to come.
Hide

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2551

แนะนำตัวเอง

Je m'appelle ................. (เชอ มัป-แปล(ล)) [ฉันชื่อ .......................]

- Je suis thaïlandaise. (เชอ ซุย ไต-ลอง-แด๊ซ(เซอ)) [ฉันเป็นคนไทย]

- Je suis née le 10 octobre 1992. (เชอ ซุย เน่ เลอ ดิซ อ๊อก-ตอบ(เบรอ) มิล เนิฟ ซอง กั๊ต(เทรอ) แวง-ดู๊ซ) [ฉันเกิดวันที่ 10 ตุลาคม 2535]

- J'ai 15 ans. (เช แก๊ง ซอง) [ฉันมีอายุ 15 ปี]

- J'habite chez mes parents, à Nakhonpathom, une petite ville près de Bangkok, la capitale du pays. (ชา-บิ๊ต(เตอ) เช เม ปา-รอง, อะ นครปฐม, อืน เปอ-ติ๊ต วิล(เลอ) แพร เดอ บอง-ก๊อก, ลา กาปิตัล(เลอ) ดือ เป(อิ)) [ฉันอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของฉัน ที่นครปฐม เมืองเล็กๆใกล้กับกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศ]

- Il y a quatre personnes dans ma famille. (อิล ลิ ยา กั๊ต(เทรอ) แปร์-ซอน(เนอ) ดอง มา ฟา-มี(เยอ)) [มี 4 คน ในครอบครัวของฉัน]

- Mon père s'appelle ............ (มง แปร์ ซัป-แปล(เลอ) ...) [พ่อของฉันชื่อ ...]

- Il a quarante-sept ans. (อิล ลา กา-รอง-แซ๊ต ตอง) [เขามีอายุ 47 ปี]

- Il est commerçant. (อิล เล กอม-แมร์-ซอง) [เขาเป็นพ่อค้า]

- Il est gentil et généreux. (อิล เล ชอง-ตี เอ เช-เน-เรอ) [เขาเป็นคนใจดี(น่ารัก) และโอบอ้อม]

- Ma mère s'appelle ............ (มา แมร์ ซัป-แปล(เลอ) ...) [แม่ของฉันชื่อ ...]

- Elle a quarante-cinq ans. (แอล ลา กา-รอง-แซง กอง) [แม่มีอายุ 45 ปี]

- Elle est ménagère. (แอล เล เม-นาช-แช(เรอ)) [แม่เป็นแม่บ้าน]

- Elle est gentille et douce. (แอล เล ชอง-ตี(เยอ) เอ ดู๊ซ(เซอ)) [แม่เป็นคนใจดี(น่ารัก) และอ่อนหวาน]

- J'ai une grande soeur. (เช อืน กรอง(เดอ) เซอร์) [ฉันมีพี่สาวหนึ่งคน]

- Elle est encore étudiante. (แอล เล ออง-กอร์ เอ-ตือ-ดิ-ยอง(เตอ)) [หล่อนยังคงเป็นนักศึกษาอยู่]

- Je n'ai pas de frère. (เชอ เน ปะ เดอ แฟร(เรอ)) [ฉันไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย]

- Je suis élève en seconde à l'école Rachiniebourana. (เชอ ซุย เอ-แล๊ฟ(เวรอ) ออง เซอ-กง(เดอ) อะ เล-กอล(เลอ) ราชินีบูรณะ) [ฉันเป็นนักเรียนชั้น ม.4 อยู่ที่โรงเรียนราชินีบูรณะ]

- Il y a cinquante élèves dans ma classe. (อิล ลิ ยา แซง-กอง เต-แล๊ฟ(เวรอ) ดอง มา คลาส(เซอ)) [มีนักเรียน 50 คน ในชั้นเรียนของฉัน]

- Piyanouche est ma meilleure amie. (ปิยะนุช เอ มา ไม-เยอร์ อา-มี) [ปิยะนุช เป็นเพื่อนที่ดีทีสุดของฉัน]

- Je vais à l'école en voiture. (เชอ เว อะ เล-กอล(เลอ) ออง วัว-ตือร์) [ฉันไปโรงเรียนโดยรถยนต์]

- J'aime le français et l'anglais. (เเชม เลอ ฟรอง-เซ่ เอ ลอง-เกล้) [ฉันชอบภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ]

- J'aime aussi la musique pop et j'aime regarder la télévision. (เเชม โอ-ซิ ลา มือ-ซิก ป๊อป เอ แชม เรอ-การ์-เด้ ลา เต-เล-วิ-ซิ-ยอง) [ฉันชอบเพลงป๊อบ และฉันก็ชอบดูโทรทัศน์]

- Je voudrais être hôtesse de l'air parce que j'aime voyager. (เชอ วู-เดร แอ๊ต(เทรอ) โอ-แตส เดอ แลร์ ปาซ(เซอ) เกอ แชม วัว-ยาช-เช่) [ฉันอยากเป็นแอร์โฮสเตส เพราะว่าฉันชอบเดินทางท่องเที่ยว]

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

สำนวนน่ารู้

“กำขี้ก็ดีกว่ากำตด”

ตัวอย่าง นางวิภาดา จ๊กมกเป็นคนจน ได้มาขอกู้เงินนางเอมซึ่งเป็นกระเทย ปล่อยเงินกู้ในตำบล เมื่อถึงเวลาครบกำหนด นางเอมได้มาทวงเงินจากนางวิภาดาเพื่อที่จะนำไปเปียแชร์ แต่นางวิภาดามีเงินอยู่จำนวนนิดหน่อยเพราะนำเงินไปซื้อโปสเตอร์ดาราหลายแผ่น นางเอมจึงได้ถอนใจแล้วบอกให้นางวิภาดาจ่ายเงิน มีเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น นางวิภาดาจึงนำเงินที่มีอยู่นิดหน่อยจ่ายให้กับนางเอม นางเอมยิ้มสแยะแต่ปากอันกว้างของหล่อนจึงเห็นฟัน 32 ซี่ แล้วพูดว่า “อย่างน้อยกำขี้ก็ดีกว่ากำตด”


"กระต่ายหมายจันทร์"

ตัวอย่าง เขาหลงรักเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์
ในเมืองเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ไกลสุดโพ้นทะเลมีพระราชาพระองค์หนึ่งเป็นผู้ที่หวงแหนพระราชธิดามาก พระองค์มีธิดาเพียงองค์เดียว ดังนั้นจึงเอาอกเอาใจบำรุงบำเรอให้ความสุขความสำราญเต็มที่ และเจ้าหญิงองค์นี้ก็มีพระสิริโฉมงดงามที่สุด อยู่มาวันหนึ่งเจ้าหญิงได้ออกมาเดินเล่นในอุทยานดอกไม้เดินไปก็ร้องเพลงไปน้ำเสียงของเจ้าหญิงช่างอ่อนหวานและกังวาลยิ่งนัก ในขณะที่เดินชมสวนอยู่ก็ได้พบกับองครักษ์หนุ่มของพระราชาเข้าโดยบังเอิญทั้งสองตกหลุมรักกันในทันที แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าองครักษ์หนุ่มผู้นี้ต่ำต้อยด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์เหลือเกินจึงได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ในใจ เมื่อพระราชาทรงทราบข่าวก็กริ้วมาก จึงขับไล่องครักษ์ออกจากวัง เจ้าหญิงเสียพระทัยมาก ต่อมาพระราชาจึงให้เจ้าหญิงอภิเษกกับเจ้าชายต่างเมืององครักษ์ผู้นี้จึงได้แอบติดตามข่าวของเจ้าหญิงอยู่เงียบๆ เขาคิดว่าตนเองนี้ต่ำต้อยเสียเหลือเกิน ถึงปรารถนาเจ้าหญิงมาครองคู่แต่ก็เพียงแค่มองไมาสามารถไขว่ขว้าไว้กับตนได้อุปมาดั่ง"กระต่ายหมายจันทร์"

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว

ข่าวแผ่นดินไหวในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงของจีนอีกครั้งที่เกิดจากแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ริกเตอร์ ที่เมืองเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวน ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ที่นอกจากจะสร้างความเศร้าสลดแก่ชาวจีนแล้ว ยังสร้างความเศร้าสลดแก่ชาวโลกอย่างยิ่ง เนื่องจากมีผู้เคราะห์ร้ายสังเวยชีวิตจากภัยธรรมชาติมากถึง 1.5 หมื่นคน และยังมีผู้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือนอีกนับหมื่นชีวิต ซึ่งกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อย่างทุกขเวทนา

ภัยธรรมชาติเราไม่อาจจะห้ามมันได้...แต่เราก็สามารถป้องกันตัวเองเมื่อเกิดภัยธรรมชาติได้หากเรารู้จักวิธีการที่ถูกต้อง จึงนำวิธีปฏิบัติและป้องกันตนเอง เมื่อเกิดแผ่นดินไหว มาฝากกันเพื่อจะได้รู้จักวิธีการป้องกันตัวเองและคนรอบข้าง
1. อย่าตื่นตกใจ พยายามควบคุมสติอยู่อย่างสงบ ถ้าท่านอยู่ในบ้านก็ให้อยู่ในบ้าน ถ้าท่านอยู่นอกบ้านก็ให้อยู่นอกบ้าน เพราะส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเพราะวิ่งเข้าออกจากบ้าน
2. ถ้าอยู่ในบ้านให้ยืนหรือหมอบอยู่ในส่วนของบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรง ที่สามารถรับน้ำหนักได้มากและระเบียบและหน้าต่าง
3. หากอยู่ในอาคารสูง ควรตั้งสติให้มั่น และรีบออกจากอาคารโดยเร็ว หนีให้ห่างจากสิ่งที่จะล้มทับได้
4. ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ให้อยู่ห่างจากเสาไฟฟ้าและสิ่งห้อยแขวนต่าง ๆ ที่ปลอดภัยภายนอก คือ ที่โล่งแจ้ง
5. อย่าใช้เทียน ไม้ขีดไฟ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดเปลวหรือประกายไฟ เพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น
6. ถ้าท่านกำลังขับรถให้หยุดรถและอยู่ภายในรถ จนกระทั่งการสั่นสะเทือนจะหยุด
7. ห้ามใช้ลิฟท์โดยเด็ดขาดขณะเกิดแผ่นดินไหว
8. หากอยู่ชายหาดให้อยู่ห่างจากชายฝั่ง เพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง

หลังเกิดแผ่นดินไหว
1. ควรตรวจตัวเองและคนข้างเคียงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ให้ทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อน
2. ควรรีบออกจากอาคารที่เสียหายทันที เพราะหากเกิดแผ่นดินไหวตามมาอาคารอาจพังทลายได้
3. ใส่รองเท้าหุ้มส้นเสมอ เพราะอาจมีเศษแก้ว หรือวัสดุแหลมคมอื่น ๆ และสิ่งหักพังแทง
4. ตรวจสายไฟ ท่อน้ำ ท่อแก๊ส ถ้าแก๊สรั่วให้ปิดวาล์วถังแก๊ส ยกสะพานไฟ อย่าจุดไม้ขีดไฟหรือก่อไฟจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีแก๊สรั่ว
5. ตรวจสอบว่าแก๊สรั่ว ด้วยการดมกลิ่นเท่านั้น ถ้าได้กลิ่นให้เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน 6. ให้ออกจากบริเวณที่สายไฟขาด และวัสดุสายไฟพาดถึง

7. เปิดวิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉิน อย่าใช้โทรศัพท์ นอกจากจำเป็นจริง ๆ
8. สำรวจดูความเสียหายของท่อส้วม และท่อน้ำทิ้งก่อนใช้
9. อย่าเป็นไทยมุงหรือเข้าไปในเขตที่มีความเสียหายสูง หรืออาคารพัง 10. อย่าแพร่ข่าวลือ

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2551

ความหมาย ของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
















อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยตั้งอยู่กึ่งกลางวงเวียน ระหว่างถนนราชดำเนินตัดกับถนนประชาธิปไตย สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกถึง เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ที่มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
อนุสาวรีย์นี้ เริ่มก่อสร้าง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ออกแบบโดย หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล ควบคุมการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ โดย ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ศิลปินผู้ปั้นอนุสาวรีย์คือ นายสิทธิเดช แสงหิรัญ มีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2483



โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม กล่าวในในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ว่า"อนุสาวรีย์นี้จะเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญก้าวหน้าทั้งมวล เป็นต้นว่า ถนนสายต่างๆ ที่จะออกจากกรุงเทพฯ ไปยังหัวเมืองก็จะนับต้นทางจากอนุสาวรีย์นี้ ถนนราชดำเนินซึ่งเป็นแนวของอนุสาวรีย์ ก็กำลังสร้างอาคารให้สง่างามเป็นที่เชิดชูเกียรติของประเทศ และเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ที่ทรงตั้งพระราชหฤทัย จะทำให้ถนนนี้เป็นที่เชิดชูยิ่ง"
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นรูปรัฐธรรมนูญประดิษฐานบนพานแว่นฟ้าสร้างด้วยทองแดง มีความสูง 3 เมตร หนัก 4 ตัน ตั้งบนฐานรูปทรงกลมด้านบนโค้งกลม ลานอนุสาวรีย์ยกสูงมีบันไดโดยรอบ รอบนอกลานอนุสาวรีย์มีครีบทรงแบน อยู่ 4 ทิศ ที่โคนครีบมีภาพแกะสลักลายปั้นนูน และมีรั้วเตี้ยๆกั้นโดยรอบลานอนุสาวรีย์ รั้วนี้ใช้ปืนใหญ่โบราณจำนวน 75 กระบอกฝังดินโผล่ท้ายกระบอกขึ้นมาเป็นเสา คล้องโซ่เชื่อมต่อกัน


ความหมาย ของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย • ครีบ 4 ด้าน สูงจากแท่นพื้น 24 เมตร มีรัศมียาว 24 เมตร หมายถึง วันที่ 24 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง • พานรัฐธรรมนูญ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดป้อมกลางตัวอนุสาวรีย์ สูง 3 เมตร หมายถึง เดือน 3 หรือ เดือนเมษายน ตรงกับเดือนที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองสมัยนั้น และหมายถึง อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ภายใต้รัฐธรรมนูญ (นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ) • ปืนใหญ่จำนวน 75 กระบอก (ปากกระบอกปืนฝังลงดิน) โดยรอบฐานของอนุสาวรีย์ที่มีโซ่เหล็กร้อยไว้ หมายถึงปีที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (เลข 75 เป็นเลขท้ายสองหลักของปี พ.ศ.2475 ) ส่วนโซ่ที่ร้อยไว้ด้วยกัน หมายถึงความสามัคคีพร้อมเพรียงของคณะปฏิวัติ • ลายปั้นนูนที่ฐานครีบทั้ง 4 เน้นถึงเรื่องราวการดำเนินงานของคณะราษฎรตอนที่นัดหมายและแยกย้ายกันก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 • พระขรรค์ 6 เล่ม ที่รายล้อมรอบป้อมกลางตัวอนุสาวรีย์ หมายถึง หลัก 6 ประการของคณะราษฎร

วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2551

อารมณ์ความรักของสาวตามวันเกิด

ใบไม้
อารมณ์ความรักของสาววันจันทร์
ความรักของผู้หญิงวันจันทร์ของฉัน ก็จะเป็นความรักแบบผู้ใหญ่ ไม่หวือหวา แต่ก็รู้กันแก่ใจว่ารักกันค่ะ เป็นรักที่คอยเป็นกำลังใจให้กันเสมอ จะอยู่ห่างกัน ไม่ต้องพบหน้ากันทุกวันก็ได้ ไม่มีปัญหา แต่ขอให้ไว้ใจในกันและกันได้ โดยไม่ต้องมานั่งระแวงกันต้องซื่อสัตว์และเปิดเผยจริงใจ ไม่มีความลับต่อกัน
ก้ามกุ้ง
อารมณ์ความรักของสาววันอังคาร
ถาเปรียบความรักเป็นสี ก็คงเป็นสีน้ำตาล ไม่มีวันสดใสและยังไม่ถึงกับมืดมิด มองแล้วเหงา เศร้า และเจ็บปวด
ถาเรารักไม่เป็น ความรักก็จะทำให้ตามัวจนอาจถึงขั้นบอดได้
ตุ๊กตา
อารมณ์ความรักของสาววันพุธ
บุคลิก : ช่างฝัน ช่างคิด ใจดี ชอบสนุกสนาน ตลก เฮฮา ขี้งอน ขี้น้อยใจ ชอบเอาแต่ใจ ชอบทำอะไรแปลกๆ ให้คนอื่นหัวเราะ ชอบฟังเพลง วาดรูป ทำกับข้าว ดูแลต้นไม้ โรแมนติกมากทีเดียว
นิยามความรัก : คือการให้แต่สิ่งดีๆ ทำให้คนรักมีความสุขมากที่สุด ไม่ต้องการสิ่งตอบอทนมากมาย การยึดมั่นในความรัก จะทำให้คนรักมั่นคง ยืนยาว อาจเป็นรักข้างเดียว แต่ก็มีความสุขจากการที่ได้รักใครสักคน ชอบแอบรักข้างเดียว แต่ก็มีความสุขจากการที่ได้รักใครสักคน
ชอบแอบรักคนอื่น รู้สึกอุ่นใจดี
ทอฝัน
อารมณ์ความรักของสาววันพฤหัสบดี
จากความรักและเรื่องราวหลายๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้ในหลายๆ สิ่ง
ฉันเชื่อแน่ว่าความรักไม่สามารถจัดวางให้เป็นแบบที่เราต้องการได้ และถึงแม้ว่าในบางครั้ง ฉันจะรู้สึกว่าตัวฉันเองกำลังถูกความรักทำร้าย แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ความรักเลยที่ทำร้ายฉัน และฉันเองก็ไม่เคยกลัวในการที่จะรักใครอีก เพราะความยังไงก็ยังเป็นสิ่งที่สวยงามในความรู้สึกของฉัน
เองเพื่อคนที่ตัวเองรัก รักคือทุกความอบอุ่นเวลาใกล้รักคือความห่วงใยไม่อยากห่างแม้เพียงนาที รักคือทุกสิ่งของลม
ทะเลดาว
อารมณ์ความรักของสาววันศุกร์
นิยามความรัก – รักคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีค่ามากที่สุด คือ สิ่งที่ทำให้มองโลกได้อย่างสวยงาม รักคือความหมายของทุกสิ่งทุกอย่าง รักคือสุข และรักก็คือทุกข์ รักคือการให้ แม้กระทั่งความสุขของตัวเองเพื่อคนที่ตัวเองรัก รักคือทุกความอบอุ่นเวลาใกล้รักคือความห่วงใยไม่อยากห่างแม้เพียงนาที รักคือทุกสิ่งของลมหายใจรักคือรักค่ะ
น้องใส
อารมณ์ความรักของสาววันเสาร์
LOVER – คนที่เป็นแฟนสาววันเสาร์ได้ ไม่จำเป็นต้องมีเสปกไม่คาดหวังให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถูกใจเป็นพอ แต่ว่าต้องมีเสน่ห์ มีอำนาจ control เราได้ ที่สำคัญต้องอึดสุด เพราะเราจะวางแผนพิสูจน์คุณทุกอย่างว่าเข้ารอบมั้ย อาทิเช่น แต่งตัวโทรมๆ ทั้งที่ทำดีๆ ก็ได้แต่ไม่ทำ ดูซิว่าจะรับเราได้ไหม ก็อีแค่เริ่มต้นยังรับไม่ได้ แล้วจะมาใช้ชีวิตกับคนหัวดื้อ ไม่ยอมคน ไม่ยอมใครอย่างฉันได้ไงค่ะ เดี๋ยวฉันก็ปรับแต่งให้สวยเองแหละ แต่ต้องหลังจากผ่านการพิสูจน์นะ
ลูกเต๋า
อารมณ์ความรักของสาววันอาทิตย์
ไม่รู้คนอื่นเขายังไง แต่ตัวเองไม่ใช่คนใจร้อนเสียทีเดียว ติดขี้งอนซะมากกว่า อ้อนๆ ซะมากกว่า แต่ว่าคิดมาก ขี้น้อยใจก็ไม่แพ้เหมือนกัน

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2551

Histoire



Les écrits les plus anciens relatifs aux yaourts sont attribués à Pline l'Ancien, celui-ci ayant remarqué que certaines tribus « barbares » savaient « épaissir le lait en une matière d’une agréable acidité ». On considère aujourd’hui la Bulgarie qui était jusqu’en 1878 sous la domination ottomane comme le pays inventeur du yaourt néanmoins certains estiment que le yaourt provient d’une région du Moyen-Orient qui est aujourd’hui l’Iran ou le Kurdistan. Les techniques traditionnelles encore utilisées dans cette région consistent à fermenter le lait par un va-et-vient de ce dernier dans un « sac » de peau de mouton voire de chèvre. Il existe des preuves de l’existence de produits laitiers fermentés dans un but alimentaire depuis au moins le IIIe millénaire av. J.-C.. Les premiers yaourts résultent probablement d’une fermentation spontanée, peut-être au contact des bactéries sauvages résidant à l’intérieur des sacs de peau de chèvre utilisés pour le transport du lait.
Le yaourt fait sa première apparition en
France grâce à François Ier qui, souffrant de problèmes digestifs, fait appel au sultan de Turquie qui lui envoie d’Istanbul un médecin qui le guérit en le soumettant à une cure de lait de brebis fermenté.
À la fin du
XIXe siècle, Élie Metchnikoff (Ivanovka 1845 - Paris 1916), prix Nobel de biologie en 1908, s’interroge sur le lien attribuant au yaourt la longévité des montagnards du Caucase et des Balkans. Il découvre, en fait, les effets positifs du yaourt sur les désordres intestinaux des nourrissons
คำศัพท์ [vocabulaire]
- dur (adj.) = ยาก, ลำบาก, แข็ง, (เนื้อ, อาหาร..)เหนียว : Que la vie est dure ! [ชีวิตนี้ช่างลำบากยิ่ง] / travailler dur (dur เป็น adv.) = ทำงานหนัก, เรียนหนัก : Tous mes élèves travaillent dur cette année car ils veulent réussir à continuer leurs études à l'université. [นักเรียนทุกคนของฉันเรียนหนักปีนี้เพราะพวกเขาต้องการประสบความสำเร็จในการไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย]
- se rendre compte (de qqch / que + ind.)(v.) = รู้, ตระหนัก : Tu ne te rends pas compte que c'était difficile ! [เธอไม่รู้หรอกว่ามันยากขนาดไหน] / Elle ne s'est pas rendu compte de la difficulté ! [หล่อนไม่รู้ถึงความยากลำบาก]
- plein de (adj.) [beaucoup de] = เต็ม, เต็มไปด้วย : Elle reçoit plein de cadeaux pour son anniversaire. [หล่อนได้รับของขวัญมากมายในวันคล้ายวันเกิดของเธอ]
- enfer (n.m.) = นรก : C'est l'enfer ! = C'est horrible ! [= มันเป็นความทุกข์ทรมานเหมือนตกนรก]
- s'en faire (v.) = วิตก, กังวล, กลุ้มใจ : Ne t'en fais pas ! [อย่าวิตกกังวลไปเลย !]
- Ça va s'arranger. = อะไรๆก็จะดีขึ้น, อะไรๆก็จะเรียบร้อย
- Ça m'a fait du bien. = มันทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้น
- Ce sera pire. = จะยิ่งแย่กว่าเดิม [pire คือ ขั้นกว่าหรือขั้นสูงสุดของคำว่า mauvais หรือ mal]
- chômage (n.m.) = การไม่มีงานทำ, การตกงาน : De plus en plus de jeunes diplômés sont au chomage. [คนที่จบปริญญาใหม่ๆตกงานมากขึ้นๆเรื่อยๆ] / chômeur, chômeuse (n.) = ผู้ว่างงาน, ผู้ไม่มีงานทำ, คนตกงาน : Il y a plus de deux millions de chômeurs en France. [มีคนว่างงานในฝรั่งเศสกว่าสองล้านคน]

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

<< ^_^ สู้ๆๆตาย >>


ใกล้สอบแย้ว โอ้ยเครียดจัง แต่เราต้องสู้ๆๆๆๆๆๆ อยากมีเวลามากกว่านี้เพื่อที่จะตะลุยอ่านหนังสืออะแต่ไม่มีเวลาเลย จะสอบแล้วอิอิ เพื่อนๆก้อตั้งใจอ่านหนังสือกันนะ พวกเราต้องสู้กันเต็มที่เหลืออีกไมถึงปีแล้วที่เราต้องย้ายจากมัธยมไปสู่มหาลัยแล้ว แล้วไอ้การเข้ามหาลัยนี่ก้อยากมากๆๆๆๆๆๆเลย แต่การเข้ามหาลัยมันมีครั้งเดียวในชีวิตอะ ยังไงเราต้องทำมันให้ได้ และฝ่าฟันมันไปด้วยกันนะเพื่อนๆ ต้องอ่านหนังสือเยอะๆๆๆๆๆๆๆๆแล้ว เพราะต้องหาประสบการณ์และเนื้อหาต่างๆๆๆๆๆๆมากๆๆๆๆๆๆเวลาลุยสนามสอบจะได้เต็มที แม้มีอุปสรรคแต่เราจะต้องผ่านมันไปหัยได้นะ................................ เพื่อนกันตลอดไป

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

<< Le caleçon >>


Le caleçon est le plus vieux des sous-vêtements masculins, avant lui l’homme ne portait rien en dessous de ses pantalons. Les hommes portaient seulement des chemises longues jusqu’aux genoux afin de se protéger jusqu‘aux cuisses. Le caleçon est un sous-vêtement masculin qui ressemble à un short pour le caleçon court ou à un pantalon pour le caleçon long. Il se distingue donc du slip par la présence de jambes plus ou moins longues. Avant l’apparition des caleçons et jusqu’à la fin du XVI siècle, les hommes portaient la braie qui était une sorte de caleçon court qui permettaient de se protéger du froid. Ensuite progressivement et au fils des années les hommes ont laissés de coté les chemises longues pour porter des caleçons jusqu’à l’apparition du slip.


Même si le slip sera préféré par un très grand nombre d’homme, le caleçon restera tout de même un sous-vêtement porté et apprécié au fil des décennies, il fait même un retour en force chez les hommes modernes en ce début de notre siècle.De nos jours, il existe différentes formes et couleurs de caleçons mais les caleçons longs comme à ses débuts n’existent plus. Mais deux variantes ont vues le jour : le shorty qui est un mélange de short et de caleçon et le boxer qui est un caleçon moulant. Toutes les grandes marques proposent de nombreux caleçons, shorty ou boxers comme Gigo. Les caleçons sont devenus un élément clé de la mode Streetwear car celui-ci doit s’entrevoir. Homactu vous conseille pour être streetwear de porter des pantalons taille basse avec des caleçons avec marque apparente comme on peut les trouver chez Homwear.


Choisissez bien vos caleçons parmi toutes les variétés et les marques que l’on peut trouver de nos jours : Hom, Polo Ralph L., impetus…. Pour être encore plus tendance, vous pouvez aussi utiliser les caleçons comme tenue de nuit pour remplacer le traditionnel pyjama 2 pièces bleu ciel de papa. Le caleçon depuis sa création est l’un des sous-vêtements masculins de séduction tout comme les sous-vêtements féminins qui se montrent ! Alors il faut le choisir correctement et l’utiliser correctement.

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

<< Un abricot >>


Définition: L’abricot pousse dans un arbre, l’abricotier.Il est ovale et
orange clair. Sa peau est lisse et douce comme du velours.A l’intérieur, la
chair est orange et parfumée. Il y a un gros noyau.L’abricot est moelleux,
juteux et sucré.

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

<<เพิ่อนของช้าน>>


เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาเป็นวันเกิดเพื่อนรักของเราเอง ก้อไอ้อ๋อมไง ก้อขอหัยแกประสบผลสำเร็จในทุกๆเรื่องนะมีความสุขมากๆด้วย


เราเป็นเพื่อนกันมาเกือบจะห้าปีแล้ว เค้าก้อดีจัยที่ได้เป็นเพื่อนกับแก เราร่วมสุขร่วมทุกข์กันมา และแกก้อเป็นเพื่อนที่ดีของเค้าเลย แกช่วยเหลือและอยู่ข้างเค้า


บางครั้งเค้าอาจจะทำไรไปโดยที่ตัวแกรู้สึกไม่ดีแต่แกก้อไม่เคยจะโกดเค้า รักแกนะกระด้ง เราต้องสู้ๆๆและฝ่าฟันไปและเข้ามหาลัยหัยได้สู้ๆๆ


ตอนนี้มันมีเรื่องมากมายแต่มันทำหัยเรารู้ว่าเพื่อนสำคัญแค่ไหนเราจะอยู่ด้วยกันและเป็นเพื่อนกันตลอดไป นะยัยกระด้ง


รักเพื่อนๆนะ

<< peintre >>


Littéralement, le terme peinture désigne la matière et la pratique consistant à appliquer une couleur sur une surface tel que le papier, la toile, le bois, le verre, la laque, le béton et bien d'autres supports. Dans un sens artistique, le terme « peinture » signifie la combinaison de cette activité avec le dessin, la composition, c'est-à-dire qu'il intègre des considérations esthétiques.


En ce sens, la peinture est le moyen pour l'artiste-peintre de représenter une expression personnelle sur des sujets aussi variés qu'il existe d'artistes. C'est donc une forme d'art.
La peinture peut être naturaliste et
figurative, photographique, abstraite. Elle peut avoir contenu narratif, symbolique, émotionnel ou bien politique, mais une grande partie de l'histoire


de la peinture est dominée par des motifs et des idées spirituelles et religieuses. Dans ce genre
de peinture religieuse, sont souvent dépeintes des figures mythologiques, des scènes bibliques ou des représentations du corps humain lui-même comme sujet spirituel.

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

<< La datte >>


Les dattes constituaient un aliment fondamental pour les musulmans. La femme du prophète Aïcha (qu'Allah soit satisfait d'elle) dit : "Il nous arrivait, nous la famille de Muhammad, parfois de rester un mois sans faire de feu (pour cuisiner) puisque nous n’avions que des dattes et de
l'eau (pour toute subsistance)" (rapporté par l’Imam Muslim). Elle dit aussi : "Le Prophète (bénédiction et paix sur lui) mourut et nous n'avions encore pour apaiser notre faim que les deux choses : les dattes et l'eau" (rapporté par l’Imam Muslim). Il est difficile de comprendre comment la famille du prophète peut tenir un mois sans manger que des dattes, et la question
qui se pose : pourquoi les dattes ? Est-ce pour la simple raison que le prophète Muhammad (bénédiction et paix sur lui) était pauvre et que les palmiers étaient amplement cultivés dans la péninsule arabe ?

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2551

<< บุกสถานฑูต >>


ได้ไปเที่ยวครั้งนี้สนุกจิงๆเพราะไปเมื่อปีที่แล้วชักรู้แล้ว ว่าต้องไปโซนไหนบ้าง แล้วยิ่งไปกับเพื่อนสนิทก้อมันมาก
ถ่ายรูปกันแทบจะทุกก้าวที่เดิน555 เพื่อนๆๆที่ลงแข่งขันก้อดูจะเครียดกัน แต่สุดท้ายโรงเรียนเราก้อไม่น้อยหน้าใครเฟ้ย
แถมได้หนังสือกับของต่างๆมาด้วย และยังได้ดูการแสดงดีๆๆอีกพร้อมกับกินขนมที่ช่วยกันแชร์ตังค์กับเพื่อนๆๆ มีความสุขจิงๆๆ ก้อต้องขอบคุณอาจารย์เกรียงมากๆๆเลยที่พาพวกเราไปหาความรู้และไปเที่ยวกัน
พอเสร็จสิ้นพาระกิจที่สถานฑูตเราก้อไปกันที่สยามพารากอน แต่เซ็งอะพารากอนและสยามของแต่ละอย่างสุดยอดอะ
แบบแพงมากๆ ก้อเดินเล่นไปเรื่อยๆๆ แม้อยากได้ของนั้นมากแต่พอรู้ราคาก้อทำเอาเหงื่อตกเลย
ถึงไม่ได้ไรแต่เดินกับเพื่อนๆมานก้อสนุกแย้วอะ
ขากลับก้อหลับเปนตายแต่ตื่นเพราะไอ้เพื่อนมานร้องเพลงอะกำจิงๆ



วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2551

<< La maïs >>


La maïs est une plante herbacée annuelle, de taille variable (de 40 cm jusqu’à 10 m, généralement entre un et trois mètres pour les variétés couramment cultivées).
La tige unique et de gros diamètre est pleine, lignifiée et formée de plusieurs entrenœuds d’une vingtaine de centimètres séparés par autant de nœuds. Au niveau de chaque nœud est insérée une feuille alternativement d’un côté et de l’autre de la tige. Les feuilles, typiques des graminées, mais de grande taille (jusqu’à 10 cm de large et un mètre de long), ont une gaine enserrant la


tige et un limbe allongé en forme de ruban à nervures parallèles. À la base du limbe se trouve la ligule qui a quelques millimètres de haut. Contrairement aux autres graminées, le pied de maïs ne talle pas, toutefois on voit parfois des tiges secondaires, de taille limitée, à la base de la tige principale.


Le système racinaire comprend un très grand nombre de racines adventives qui naissent sur les nœuds situés à la base de la tige, formant des couronnes successives, tant sur les nœuds enterrés que sur les premiers nœuds aériens, dans une zone où les entrenœuds sont très courts. Ces racines forment un système fasciculé qui peut atteindre une profondeur supérieure à un mètre.
Les fleurs, autre caractéristique qui distingue le maïs des autres graminées, sont unisexuées et regroupées en inflorescences mâles et femelles composées d’épillets de deux fleurs.


Les fleurs femelles sont groupées en épis insérés à l’aisselle des feuilles médianes (les plus grandes). L’axe de l’épi, appelé rafle, porte 10 à 20 rangées de fleurs femelles. Une seule fleur par épillet est fertile. Il est entouré de feuilles modifiées, les spathes, desséchées à maturité. À l’extrémité supérieure, les spathes laissent dépasser les stigmates filiformes ou soies. Un épi peut contenir environ 500 grains à maturité, parfois mille. Un pied donne naissance à trois ou quatre épis, mais un seul atteint généralement un développement complet.

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2551

<< Le loup >>


Depuis l'aube des temps, le loup ou son mythe accompagne les hommes. Mal connu et mystérieux, cet animal intelligent, qui vit en groupe, que l'on entend mais que l'on ne voit guère, et qu' on dit dangereux parce que prédateur, est entouré d'une aura de terreur qui commence tout juste à s'estomper.


Le loup a été un modèle pour les peuples chasseurs. La louve fut un symbole de féminité pour les Romains. Pour les chrétiens, les loups étaient l'incarnation du diable. Aujourd'hui, le loup est perçu comme une preuve de la santé de la nature. Il suscite désormais plus de curiosité que de peur. C'est pourquoi j'ai construit ce site. Pour essayer d' intéresser le plus grand nombre de passionnés comme moi et d'en convertir de nouveaux.

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2551

<< La boîte >>


Les années se suivent et ne se ressemblent pas forcément à la Boîte à Bulles. Pour la première fois depuis sa création fin 2003, nous ne serons pas présents à Angoulême. Les organisateurs refusant d'ajuster les prix de location d'une bulle New York désertée par les gros éditeurs, nous préférons investir notre énergie au fignolage des sorties en cours.

Après les sorties très remarquées de Kaboul Disco (nominé dans la sélection 2007 de l'Association des Critiques de Bande Dessinée et au Prix France Info de la BD d'actualité) de Viktor, de Je suis pas petite (les critiques parlent d'elles-mêmes...), la BAB démarre 2008 avec Naïve, une introspection pleine de poésie composée par Sylvie Fontaine et La Rumeur, un récit humoristico-philosophique des auteurs du remarquable Fluink !

Avant de vous souhaiter à tous ce qu'il y a de meilleur pour 2008, rappelons la sortie imminente d'Amour & Désir, le nouveau collectif de la BAB. Vous aurez le plaisir d'y retrouver de très nombreux auteurs maisons (citons par exemple Lucie Al
bon, Nancy Peña, Tommy Redolfi, Clément Baloup, Jean-Christophe Pol) et quelques nouveaux venus dans notre catalogue : Karo, Jean-Luc Cornette, Benoît Springer, Simon Hureau ou encore Cmax. Un ouvrage copieux de 320 pages à ne pas manquer.

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2551

<< คำแสลงในภาษาฝรั่งเศส >>

Un boulot = Un travail งาน

Un nana = Un fille ผู้หญิง

Un bouquin = Un livre หนังสือ

Une bagnole = Une voiture รถยนตร์

Une radis = Un argent เงิน

Un futal = Un pantalon กางเกงขายาว

Du pinard = Du vin เหล้าองุ่น

Un cinoche = Un cinéma ภาพยนตร์

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

<< La poire >>


Voir aussi nos dossiers : Les fruits et légumesChine : les secrets de la cuisine santé ! La poireLe poirier serait, comme beaucoup de fruits, originaire de l’Asie Centrale. La culture proprement dite de la poire aurait commencé en Chine, plus de quatre mille ans avant notre ère. Si les grecs semblaient apprécier les poires, ce sont les Romains qui développèrent le plus grand nombre de variétés. On en recensait une bonne soixantaine à la fin de l’Empire romain. La diffusion des poires se fit ensuite progressivement dans toute l’Europe.


De nombreuses variétés Rapidement, les variétés devaient s’améliorer et devenir plus nombreuses : on en comptait plus de deux cents à la Renaissance, près de cinq cents sous le règne de Louis XIV. A présent, l’éventail des variétés s’est encore enrichi et on en dénombre plusieurs milliers, dont une dizaine seulement ont une réelle importance commerciale. Les poires que nous consommons aujourd’hui sont nées pour la plupart au siècle dernier.


Comment les choisir : Si les poires d’été se choisissent souples , il en va autrement pour les poires d’automne et d’hiver. Ces fruits ont besoin, pour mûrir, d’une période de froid qu’ils ne peuvent connaître sur l’arbre. Nos grands parents le savaient bien et les récoltaient légèrement verts et les laissaient mûrir dans un fruitier ou un cellier.Aujourd’hui, si l’on achète des fruits un peu fermes, il est nécessaire de les laisser s’affiner dans un compotier ou une corbeille à fruits.


Comment les conserver : Les poires d’automne et d’hiver peuvent donc se conserver quelques jours. Les variétés d’été n’ont pas cette particularité et doivent au contraire être consommées dès leur achat. Mais quelque soit la saison, une poire mûre n’attend pas.

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

<<École maternelle>>


L'école maternelle, est une école qui accueille de très jeunes enfants pour les préparer aux apprentissages fondamentaux de la lecture, de l'écriture et du calcul. C'est une période préparatoire à l'enseignement élémentaire : les objectifs essentiels sont la socialisation, la mise en place du langage, du nombre et du geste graphique.

Ces établissements sont désignés suivant les pays sous le nom d'école maternelle (France, Québec), école enfantine (Suisse) ou encore école gardienne (Belgique).

Elle assure une prise en charge des enfants dont les parents exercent ou non une activité professionnelle et permet au enfants de se socialiser et de s'initier progressivement à la scolarité.

En France, l'école maternelle est destinée aux jeunes enfants de 3 (parfois 2) à 5 ans. Bien que facultative, l'école maternelle française accueille environ 35% des enfants de deux ans, 95% des enfants de trois ans et la quasi totalité des enfants de quatre et cinq ans. Lors de l'élection présidentielle de 2007, plusieurs candidats ont proposés d'aligner le droit sur les faits et d'intégrer - au moins en partie - l'école maternelle à l'enseignement obligatoire.

Ils reprenaient en cela une proposition avancée par le Syndicat des Enseignants-UNSA.En Suisse, l'école enfantine donne une instruction préscolaire à des enfants âgés d'environ 4 à 6 ans. Ses modalités varient d'une ville à une autre et son accès demeure facultatif.

Le premier degré de l'enseignement au Québec correspond à l'éducation préscolaire, qui n'est pas obligatoire. Il concerne la prématernelle et la maternelle. Cette dernière, bien que de niveau préscolaire, est souvent intégrée aux écoles primaires.