อ่านตอนเย็น ไม่ควรอ่านตอนเช้า
การอ่านหนังสือเตรียมสอบในชั้นเรียน ส่วนใหญ่จะเลือกอ่านในตอนเช้าๆ เพราะจะได้เข้าหัว ส่วนก่อนเข้าห้องสอบก็ไปติวหน้าห้องกับเพื่อนๆเพื่อความชัวร์อีกทีหนึ่ง แต่การอ่านหนังสือเตรียมสอบแอดมิชชั่นนั้น ต้องบอกว่ากลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง เพราะควรจะอ่านตอนหัวค่ำมากกว่า โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน เพราะถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสมมากที่สุด อ่านไปแล้วค่อยพักผ่อนหละ...(แต่อย่าอ่านไปด้วย นอนไปด้วยนะ ไม่งั้นอาจจะได้พักผ่อนก่อนการอ่าน...) ที่ใช้วิธีนี้ก็เพราะว่า การอ่านเตรียมสอบแอดมิชชั่นไม่ใช่การอ่าน แล้วใช้งานทันที แต่เป็นการอ่านเพื่อทบทวน เพื่อรื้อฟื้นสิ่งที่เคยเข้าใจอีกครั้งหนึ่ง..ดังนั้น หากนำบทเรียนแอดมิชชั่นไปอ่านตอนเช้า พอสายๆไปเรียนในชั้นเรียน เนื้อที่อ่านมาก็จะถูกลืม และตีกับบทเรียนใหม่ซะยุ่งเหยิงเลยทีเดียว
ไม่ควร..อ่านแต่เนื้อหาอย่างเดียว
เขาบอกว่าคนเราจะเตะฟุตบอลได้ดีหรือไม่นั้น จะมามัวนั่งอ่านกฏกติกา วิธีเล่นอย่างเดียวก็คงไม่ได้ ต้องลองเล่นในสนามจริงๆดู ซึ่งก็เปรียบได้กับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ หากอ่านแต่เนื้อหา อ่านแต่กฏ หรือสูตรลัดต่างๆ แต่ไม่ลองอ่านแนวข้อสอบเก่าๆ ก็อาจจะไม่ได้ผล เพราะหลายคนมักจะมาพลาดตรงข้อสอบที่ออก ซึ่งต่อให้เข้าใจ อ่านมาแน่นขนาดไหน แต่ไม่รู้แนวการถาม หรือแนวข้อสอบ ก็คงต้องผิดหวังไปตามๆกันครับ...เปรียบการทำข้อสอบแอดมิชชั่น เป็นการเตะฟุตบอลที่การสอบปกติจะเตะจากกลางสนามเข้าประตู แต่สำหรับแอดมิชชั่นคือการเตะจากข้างสนามเพื่อส่งให้เพื่อนโหม่งเข้าประตู
อ่านเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ท่องจำ
สำหรับแนวคิดในข้อนี้ คำว่ารู้ลึก รู้จริง รู้แบบเข้าใจ คงจะใช้ได้ดีครับ...เพราะฉะนั้นการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบแอดมิชชั่น พี่ลาเต้ ขอฟันธงเลยว่า ให้น้องๆอ่านแบบทำความเข้าใจ อย่าไปอ่านแล้ว จำ จำ จำ เพราะไม่งั้นน้ำตาตกหลังสอบแน่ๆ ที่ต้องอ่านแบบนี้ เพราะแนวข้อสอบแอดมิชชั่น โดยเฉพาะ O-NET จะเป็นข้อสอบที่กว้างมากๆ มันจะไม่ถามอะไรที่เฉพาะเจาะจง แต่จะถามชนิดว่าความรู้กว้างๆ ภูมิหลัง หรือความเข้าใจ ซึ่งหากอ่านแบบให้เข้าใจ โดยสามารถเล่าเรื่องต่างๆให้เพื่อนฟังได้ ทำข้อสอบได้แน่นอน...
วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2551
วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2551
On Feb. 2, 2007, the United Nations scientific panel studying climate change declared that the evidence of a warming trend is "unequivocal," and that human activity has "very likely" been the driving force in that change over the last 50 years. The last report by the group, the Intergovernmental Panel on Climate Change, in 2001, had found that humanity had "likely" played a role.
The addition of that single word "very" did more than reflect mounting scientific evidence that the release of carbon dioxide and other heat-trapping gases from smokestacks, tailpipes and burning forests has played a central role in raising the average surface temperature of the earth by more than 1 degree Fahrenheit since 1900. It also added new momentum to a debate that now seems centered less over whether humans are warming the planet, but instead over what to do about it. In recent months, business groups have banded together to make unprecedented calls for federal regulation of greenhouse gases. The subject had a red-carpet moment when former Vice President Al Gore's documentary, "An Inconvenient Truth," was awarded an Oscar; and the Supreme Court made its first global warming-related decision, ruling 5 to 4 that the Environmental Protection Agency had not justified its position that it was not authorized to regulate carbon dioxide.
Read More...
The greenhouse effect has been part of the earth's workings since its earliest days. Gases like carbon dioxide and methane allow sunlight to reach the earth, but prevent some of the resulting heat from radiating back out into space. Without the greenhouse effect, the planet would never have warmed enough to allow life to form. But as ever larger amounts of carbon dioxide have been released along with the development of industrial economies, the atmosphere has grown warmer at an accelerating rate: Since 1970, temperatures have gone up at nearly three times the average for the 20th century.
The latest report from the climate panel predicted that the global climate is likely to rise between 3.5 and 8 degrees Fahrenheit if the carbon dioxide concentration in the atmosphere reaches twice the level of 1750. By 2100, sea levels are likely to rise between 7 to 23 inches, it said, and the changes now underway will continue for centuries to come.
Hide
The addition of that single word "very" did more than reflect mounting scientific evidence that the release of carbon dioxide and other heat-trapping gases from smokestacks, tailpipes and burning forests has played a central role in raising the average surface temperature of the earth by more than 1 degree Fahrenheit since 1900. It also added new momentum to a debate that now seems centered less over whether humans are warming the planet, but instead over what to do about it. In recent months, business groups have banded together to make unprecedented calls for federal regulation of greenhouse gases. The subject had a red-carpet moment when former Vice President Al Gore's documentary, "An Inconvenient Truth," was awarded an Oscar; and the Supreme Court made its first global warming-related decision, ruling 5 to 4 that the Environmental Protection Agency had not justified its position that it was not authorized to regulate carbon dioxide.
Read More...
The greenhouse effect has been part of the earth's workings since its earliest days. Gases like carbon dioxide and methane allow sunlight to reach the earth, but prevent some of the resulting heat from radiating back out into space. Without the greenhouse effect, the planet would never have warmed enough to allow life to form. But as ever larger amounts of carbon dioxide have been released along with the development of industrial economies, the atmosphere has grown warmer at an accelerating rate: Since 1970, temperatures have gone up at nearly three times the average for the 20th century.
The latest report from the climate panel predicted that the global climate is likely to rise between 3.5 and 8 degrees Fahrenheit if the carbon dioxide concentration in the atmosphere reaches twice the level of 1750. By 2100, sea levels are likely to rise between 7 to 23 inches, it said, and the changes now underway will continue for centuries to come.
Hide
วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2551
แนะนำตัวเอง
Je m'appelle ................. (เชอ มัป-แปล(ล)) [ฉันชื่อ .......................]
- Je suis thaïlandaise. (เชอ ซุย ไต-ลอง-แด๊ซ(เซอ)) [ฉันเป็นคนไทย]
- Je suis née le 10 octobre 1992. (เชอ ซุย เน่ เลอ ดิซ อ๊อก-ตอบ(เบรอ) มิล เนิฟ ซอง กั๊ต(เทรอ) แวง-ดู๊ซ) [ฉันเกิดวันที่ 10 ตุลาคม 2535]
- J'ai 15 ans. (เช แก๊ง ซอง) [ฉันมีอายุ 15 ปี]
- J'habite chez mes parents, à Nakhonpathom, une petite ville près de Bangkok, la capitale du pays. (ชา-บิ๊ต(เตอ) เช เม ปา-รอง, อะ นครปฐม, อืน เปอ-ติ๊ต วิล(เลอ) แพร เดอ บอง-ก๊อก, ลา กาปิตัล(เลอ) ดือ เป(อิ)) [ฉันอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของฉัน ที่นครปฐม เมืองเล็กๆใกล้กับกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศ]
- Il y a quatre personnes dans ma famille. (อิล ลิ ยา กั๊ต(เทรอ) แปร์-ซอน(เนอ) ดอง มา ฟา-มี(เยอ)) [มี 4 คน ในครอบครัวของฉัน]
- Mon père s'appelle ............ (มง แปร์ ซัป-แปล(เลอ) ...) [พ่อของฉันชื่อ ...]
- Il a quarante-sept ans. (อิล ลา กา-รอง-แซ๊ต ตอง) [เขามีอายุ 47 ปี]
- Il est commerçant. (อิล เล กอม-แมร์-ซอง) [เขาเป็นพ่อค้า]
- Il est gentil et généreux. (อิล เล ชอง-ตี เอ เช-เน-เรอ) [เขาเป็นคนใจดี(น่ารัก) และโอบอ้อม]
- Ma mère s'appelle ............ (มา แมร์ ซัป-แปล(เลอ) ...) [แม่ของฉันชื่อ ...]
- Elle a quarante-cinq ans. (แอล ลา กา-รอง-แซง กอง) [แม่มีอายุ 45 ปี]
- Elle est ménagère. (แอล เล เม-นาช-แช(เรอ)) [แม่เป็นแม่บ้าน]
- Elle est gentille et douce. (แอล เล ชอง-ตี(เยอ) เอ ดู๊ซ(เซอ)) [แม่เป็นคนใจดี(น่ารัก) และอ่อนหวาน]
- J'ai une grande soeur. (เช อืน กรอง(เดอ) เซอร์) [ฉันมีพี่สาวหนึ่งคน]
- Elle est encore étudiante. (แอล เล ออง-กอร์ เอ-ตือ-ดิ-ยอง(เตอ)) [หล่อนยังคงเป็นนักศึกษาอยู่]
- Je n'ai pas de frère. (เชอ เน ปะ เดอ แฟร(เรอ)) [ฉันไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย]
- Je suis élève en seconde à l'école Rachiniebourana. (เชอ ซุย เอ-แล๊ฟ(เวรอ) ออง เซอ-กง(เดอ) อะ เล-กอล(เลอ) ราชินีบูรณะ) [ฉันเป็นนักเรียนชั้น ม.4 อยู่ที่โรงเรียนราชินีบูรณะ]
- Il y a cinquante élèves dans ma classe. (อิล ลิ ยา แซง-กอง เต-แล๊ฟ(เวรอ) ดอง มา คลาส(เซอ)) [มีนักเรียน 50 คน ในชั้นเรียนของฉัน]
- Piyanouche est ma meilleure amie. (ปิยะนุช เอ มา ไม-เยอร์ อา-มี) [ปิยะนุช เป็นเพื่อนที่ดีทีสุดของฉัน]
- Je vais à l'école en voiture. (เชอ เว อะ เล-กอล(เลอ) ออง วัว-ตือร์) [ฉันไปโรงเรียนโดยรถยนต์]
- J'aime le français et l'anglais. (เเชม เลอ ฟรอง-เซ่ เอ ลอง-เกล้) [ฉันชอบภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ]
- J'aime aussi la musique pop et j'aime regarder la télévision. (เเชม โอ-ซิ ลา มือ-ซิก ป๊อป เอ แชม เรอ-การ์-เด้ ลา เต-เล-วิ-ซิ-ยอง) [ฉันชอบเพลงป๊อบ และฉันก็ชอบดูโทรทัศน์]
- Je voudrais être hôtesse de l'air parce que j'aime voyager. (เชอ วู-เดร แอ๊ต(เทรอ) โอ-แตส เดอ แลร์ ปาซ(เซอ) เกอ แชม วัว-ยาช-เช่) [ฉันอยากเป็นแอร์โฮสเตส เพราะว่าฉันชอบเดินทางท่องเที่ยว]
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)